ช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ชายหนุ่มนามว่า Sakichi Toyoda ได้กำลังฝึกฝือมือเพื่อจะได้สืบสานอาชีพช่างไม้ เหมือนเช่นที่บิดาเขาเป็น แต่ไม่นานที่เขาต้องทนเห็นกับความยากลำบากของผู้คนในหมู่บ้านรอบๆ ตัวเขา รวมถึงมารดาของเขาซึ่งต้องประสบกับปัญหาความยากจน แร้นแค้น ต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยการหาเลี้ยงชีพจากอาชีพเสริมอย่างการทอผ้าด้วยมือ เขาจึงมีปรับเปลี่ยนความตั้งใจด้วยการมุ่งมั่นที่จะใช้ความรู้ที่เขามีช่วยเหลือและปรับปรุงอุตสาหกรรมทอผ้าให้เจิรญก้าวหน้าให้จงได้
เครื่องทอผ้าด้วยมือของ Kiichiro
หลังจากได้พยายามอยู่หลายปี มาจนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1894 เขาได้ทำการปรับปรุง (ไคเซ็น) ผลงานของเขา เขาจึงได้นำผลประดิษตกรรมเป็นเครื่องทอผ้าด้วยการใช้พลังมือปั่น ออกสู่สาธารณะชนเป็นครั้งแรกภายใต้บริษัทของเขาเอง และในช่วงเวลาเพียงแค่ 2 ปีหลังจากนั้นเขาได้ทำเครื่องทอผ้าพลังงานน้ำอย่างสมบูรณ์แบบเป็นเครื่องแรกของญี่ปุ่น แต่โชคไม่เข้าข้างเขาเอาซะเลย เมื่อพิษเศรษฐกิจในญี่ปุ่นได้เล่นงานเขา จนถึงขั้นที่เขาจำต้องถูกบังคับให้ลาออกจากบริษัทที่เขาตั้งขึ้นมา ซึ่งนั่นทำให้เขาต้องเสียสิทธิ์ทั้งการเป็นเจ้าของบริษัทและก็เจ้าของสิทธิบัตรเครื่องจักรที่เขาได้พัฒนาขึ้นมาเองอีกด้วย แต่ด้วยความมุ่งมั่นเขาและลูก
ชายของเขา Kiichiro Toyoda ได้มุมานะพยายามอย่างหนักจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1924 จึงได้ประสพความสำเร็จในการพัฒนาเครื่องทอผ้าอัตโนมัติสมบูรณ์แบบแถมมีมาตรฐานผ่านระดับมาตรฐานสากลขึ้นไปอีก จึงทำให้ภายในสองปีถัดมาคือปี ค.ศ. 1926 ทั้งคู่จึงได้ก่อตั้งบริษัทิ Toyoda Automatic Loom Works ขึ้นมาเป็นของตัวเองซึ่งนับเป็นรากฐานที่สำคัญที่กลายมาเป็นบริษัทิ Toyota Motor ในทุกวันนี้
Toyoda Automatic Loom Works (ตอนนี้เปลี่ยนเป็น Toyoda Industries Corporation)
ขั้นตอนการพัฒนาจากบริษัทิผลิตและขายเครื่องทอผ้ามาจนถึงบริษัทิผลิตรถยนต์นั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าจะประหลาดใจซักเท่าไร หากได้มองถึงความช่างสงสัยและช่างขวนขวายหาความรู้ของ Sakichi เขามักจะมองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ และเขาเองก็ตระหนักอยู่เสมอว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งที่จะต้องเป็นนักคิดค้นและสร้างสรรสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งจิตวิญญาณดังกล่าวก็ยังคงโชติช่วงอยู่ในปัจจุบันตามแนวคิด Toyota Way ซึ่งความสำเร็จของพวกเขานั้นขยายวงจากวิสัยทัศน์ และประสพการณ์ใหม่ๆ ที่ได้พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง Sakichi เองก็ยึดถือแนวคิดนี้อย่างมากด้วยการเดินทางข้ามทวีปเพื่อไปศึกษาอุตสาหกรรมทอผ้าทั้งในอเมริกา และก็ยุโรป สิ่งที่เขาได้รับกลับมากลับมิใช่เพียงแค่สิ่งใหม่ๆ ในงานที่เขาทำ แต่รวมถึงความประทับใจกับงานในอุตสาหกรรมรถยนต์อีกด้วย และนั่นก็เป็นอย่างที่เขาเองมักพูดอยู่เสมอๆ ว่า "จงเปิดหน้าต่างออกดู แล้วจะได้พบกับโลกอันแสนกว้างใหญ่ภายนอก"
แรงบันดาลใจนั้นมาได้จากหลากหลายแห่ง เช่นสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติ หมู่บ้านที่เราอาศัย หรือ สิ่งที่บริษัทอื่นได้ทำ ก็ล้วนแล้วแต่จุดประกายให้กับเราได้ทั้งสิ้น ขอเพียงแค่เราเปิดตา เปิดความคิด และก็จิดใจ ให้กับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเราตลอดเวลา นั่นแหละคือการเปิดหน้าต่างสู่โลกกว้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น