ต่อจากตอนที่แล้วที่ผมได้มีโอกาสได้เดินสำรวจ value stream ของบริษัท A ซึ่งเป็นบริษัทิที่มีรูปแบบในการผลิตแบบจำนวนมาก (High-Volume) และมีความซับซ้อนในตัวผลิตภัณฑ์มาก โดยสินค้านั้นจะป้อนให้กับบริษัทิผู้ผลิตรถยนต์เจ้าต่างๆ โดยในขณะที่เราร่วมเดินสำรวจ ผู้บริหารของบริษัทินั้นก็สามารถที่จะตอบคำถามทั้ง 10 ข้อข้างต้นได้อย่างรวดเร็ว
ข้อ 1 "ปัญหาทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสินค้านี้ของคุณคืออะไร"
คำตอบ.. ก็เรากำลังเผชิญกับปัญหาจากแรงกดดันจากลูกค้าสองเจ้าของเราในเรื่องของราคาที่ต้องการให้ลดลง มีแนวโน้มว่าเรากำลังจะขาดทุนในไม่ช้า ถึงแม้ว่าเราจะมีสินค้าที่ได้คุณภาพ และก็ส่งมอบได้ทันตามความต้องการ (โดยย่อก็คือต้องลดต้นทุนให้ได้เร็วที่สุดนะแหละ)
ข้อ 2 "ใครคือคนรับผิดชอบ Value Stream ของกลุ่มสินค้านี้"
คำตอบ..คำตอบก็ฟังดูง่ายเช่นกัน คือ ไม่มีครับ ก็ ตัวสินค้าของเราก็แค่ถูกส่งต่อผ่านไปยังหลายต่อหลายแผนก ตั้งแต่แผนกขาย แผนกวางแผนการผลิต ประกอบ ขึ้นรูป จัดซื้อ ฯลฯ แต่ก็ไม่มีใครถูกกำหนดขึ้นมาให้ดูแลประสิทธิภาพโดยรวมของทั้ง Value stream แต่ว่า ทีมงานลีนของเราก็พยายามอย่างหนักนะครับที่จะแทรกแซงตามจุดต่างๆ เพื่อปรับปรุง และลดขึ้นตอนการทำงานที่สูญเปล่าลง
ข้อ 3 "บริษัทได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าอย่างไร"
คำตอบ.. โรงงานเราได้รับยอดขายจากคำทำนาย (forecast) เป็นประจำทุกเดือน ในขณะที่แผนการส่งมอบจะถูกส่งมาจากลูกค้าทั้งสองเจ้าเป็นประจำทุกสัปดาห์ ซึ่งการส่งมอบจะถูกควบคุมด้วยกลไกของคัมบัง (Kanban) ผ่านระบบมิลค์รัน (Milk run)ที่ถูกส่งมาจากลูกค้า ถ้าดูเผินๆ ทำได้ทั้งคัมบัง และมิลค์รัน นี่นา แต่เมื่อเข้าไปดูรูปแบบการจัดการคัมบังของลูกค้าทั้งสองเจ้านั้นกลับพบว่านั่นมิใช่การบริหารคัมบังที่ถูกต้องสักทีเดียว ลูกค้าเจ้าแรกนั้นกำหนดช่วงเวลาของการส่งคัมบังไว้อย่างชัดเจนว่าจะเป็นทุก 2 ชั่วโมงรวมทั้งพยายามที่จะทำการปรับเรียบความต้องการเพื่อมิให้ส่งผลกระทบกระเทือนต่อบริษัทิมากนัก (ผลกระทบกระเทือนอันเกิดจากความแปรปรวนของความต้องการจะส่งผลต่อความแปรปรวนของการผลิตและบริหารจัดการรวมไปถึงการควบคุมปริมาณสินค้าอย่างหลีกเลี่ยงมิได้) ลูกค้าเจ้าแรกดูดี แต่พอมาอีกเจ้าหนึ่งเรากลับพบว่าช่วงเวลาการส่งคัมบังนั้นไม่มีความแน่นอนเลยนั่นก็รวมถึงจำนวนเช่นกันซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นถึงลูกค้านั้นกำลังสร้างความแปรปรวนให้เกิดขึ้นต่อบริษัท A อย่างชัดเจน ซึ่งหากเราจะมองที่บริเวณส่งของ (Shipping Lane) จะพบกับหลักฐานอย่างชัดเจนว่า บริเวณที่จัดส่งของสำหรับลูกค้าเจ้าแรกนั้นจะมีปริมาณสินค้าที่จัดเก็บอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับอีกเจ้า ซึ่งไม่แปลกเลยที่เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นเพราะว่าลูกค้าทั้งสองเจ้าต่างต้องการให้ส่งมอบให้ได้ 100% ดังนั้นการเก็บสต็อกเพื่อที่จะเผื่อให้กับความแปรปรวนนั้นย่อมที่จะต้องมีมากให้กับลูกค้าเจ้าหลัง
ข้อ 4 "กระบวนการไหนทำหน้าที่เป็นหัวรถจักร (Pacemaker) ที่เป็นจุดเริ่มต้นในการขับเคลื่อน และได้รับการชักนำจากคำสั่งซึ้อของลูกค้าโดยตรง"
คำตอบ..ไม่มีครับ pace maker อะไรที่ว่านะครับ บริษัทิ A จะใช้ Master Scheduler ทำการวางแผนการผลิตหลัก (Master Schedule)จากแผนการส่งมอบของลูกค้าช่วงปลายสัปดาห์หลังจากนั้นก็จะกระจายให้กับส่วนต่างๆ ตลอด value stream ซึ่งแน่นอนระหว่างสัปดาห์ก็มักจะมีการตกแต่งแก้ไข จัดลำดับ เพิ่ม ลด ตามการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งรูปแบบนี้คงจะไม่สามารถเป็นลีนได้แน่ๆ เพราะคงเป็นการยากที่ภาพของ takt จะถูกนำมาใช้ควบคุมการผลิต ในเมื่อหัวของส่วนต่างๆ นั้นจะต้องยุ่งกับการจัดการการแผนการผลิตที่ยากในการทำให้สอดคล้องกันตลอดทั้งสาย
ข้อ 5 "ในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการประกอบนั้นมีความสามารถ (capable) มีความพร้อม (available) มีเพียงพอ (adequate) และปราศจากความสูญเปล่า (waste free) เพียงใด"
คำตอบ....ไคเซ็นล่าสุดที่บริษัท A ได้จัดทำนั้นเป็นการพยายามที่จะจัดทำ Assembly Cell ขึ้นมา โดยทำการรวบรวมเอากิจกรรมต่างที่เกี่ยวข้องกันซึ่งก่อนหน้าอยู่ในที่ต่างๆ กัน มาจัดเรียงเข้าไว้ด้วยกันในระยะที่ใกล้กันในรูปของตัวยู (U-shape Cell) แล้วท่านผู้บริหารก็กล่าวย้ำว่าขณะนี้เราได้ประสบผลสำเร็จในการสร้างสายการผลิตที่ต่อเนื่องแล้ว........ซึ่ง...เมื่อได้ทำการสังเกตุอยู่สักพักก็พบว่าสายการผลิตนั้นขาดความสมดุลย์อย่างมาก ไม่เห็นหลักฐานใดๆ แสดงถึงมาตรฐานในการทำงานที่เหมาะสม (Standardized Work) แล้วก็เจอกองของสินค้าในระหว่างกระบวนการ สุมกันเป็นจุดๆ ในระหว่างกระบวนการต่างๆ และเมื่อขอดูบอร์ดที่ใช้วิเคราะห์การผลิตที่อยู่ถึดไปจากเซลล์ ก็พบว่าอัตราการผลิตนั้นมีความแปรปรวนอย่างมากจากชั่วโมงหนึ่งถึงชั่วโมงหนึ่ง คำอธิบายที่ได้เขียนเอาไว้ก็ได้พูดถึงปัญหาอันเกิดจากการขาดวัถตุดิบเป็นช่วง ๆ ทำให้สายการผลิตต้องหยุดชะงักเป็นบางเวลา......ด้วยสายตา ผมพอที่จะกะได้ในทันทีว่าสายการผลิตนี้น่าที่จะสามารถผลิตอย่างต่อเนื่องตามอัตราที่ต้องการโดยใช้คนทำงานเพียงแค่ครึ่งเดียวแท่านั้น...แน่นอนที่จุดนี้เองน่าจะเป็นจุดที่สำคัญจุดหนึ่งที่จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น